1. ความสวยงาม |
ขึ้นอยู่กับความเป็นมืออาชีพของผู้ออกแบบ ว่าจะสามารถออกแบบตามหลักการ UI ที่ะสวยงามได้มากน้อยเพียงใด |
มีความสวยงาม เนื่องจากออกแบบตามหลักการ UI ที่ถูกต้องและสวยงาม ที่มีความ User friendly มากที่สุด |
2. หน้าตาสามารถ CUSTOMIZE ได้ |
สามารถ CUSTOMIZE ได้ตามความต้องการ (แต่ยิ่ง CUSTOMIZE มากเท่าไรการแสดงผลจะยิ่งเพี้ยนมากเท่านั้น) |
Customize ได้บางส่วนที่ระบบเปิดให้ (ข้อดีคือการแสดงผลจะสวยงามในทุกหน้าจอ) |
3. ระยะเวลาในการพัฒนา Application |
ส่วนใหญ่มากกว่า 4 เดือนขึ้นไป โดยเฉพาะ APP ร้านค้าออนไลน์ ระบบแบบง่ายที่สุดก็ใช้เวลาปีกว่าถึงจะได้ระบบที่พอใช้งานได้
เนื่องจากลูกค้าอย่าลืมว่า การทำ Application นั้นเวลาจ้างทำแอพพลิเคชั่นแล้ว ลูกค้าต้องจ้างทำระบบหลังร้าน
(Back End) เพื่อจัดการข้อมูลด้วย |
ระยะเวลาประมาณ 30 วันเท่านั้น และใช้งานได้สมบูรณ์แบบ เนื่องด้วยระบบมีการพัฒนามาอย่างสมบูรณ์ก่อนแล้ว ระบบจึงมีครบและสมบูรณ์ช่วยธุรกิจออนไลน์ได้จริง |
4. การเกิดข้อผิดพลาดของ Application (BUG) |
มีมากแน่นอนเนื่องจากเป็นการพัฒนาขึ้นมาใหม่ทั้งหมดหมด ดังนั้นกว่าจะไล่แก้ bug ทั้งหมด และกว่าจะใช้งานได้จริงบางโครงการใช้เวลาหลายปี
กว่าจะแก้ bug ให้เหลือน้อยที่สุด ยิ่งถ้าโปรแกรมขนาดใหญ่ bug ก็จะเกิดขึ้นมากเท่านั้น |
ด้วยระบบสำเร็จรูป ที่มีการพัฒนาและทดสอบตลอดเวลา จึงมีโอกาสเกิด Bug ตำกว่ามาก และถ้ามีคนใดคนนึงเกิด
BUG เมื่อเราแก้ไขระบบแกนกลางลูกค้าจะได้รับการแก้ไขพร้อมกันหมด |
5. ระบบหลังบ้าน (Back End) ใช้งานได้ดีแค่ไหน |
ส่วนมากจะทำได้จำกัดเนื่องด้วยโปรแกรมเมอร์ไม่ว่างที่จะมาคิด Flow ให้ และเจ้าของก็ไม่มีเวลาด้วย
รวมถึงเจ้าของเองก็คิดไม่ออก โดยเฉพาะร้านค้าออนไลน์ ส่วนใหญ่โปรแกรมเมอร์จะทำให้แค่พอใช้งานได้ด้วยงบประมาณและเวลาที่จำกัด
|
ระบบจะใช้งานได้อย่างดีเยี่ยม เพราะเรามีการวิเคราะห์มาหมดแล้วทั้งในของไทยและระดับสากล
ว่าระบบควรมีอะไรบ้างเพื่อให้ผู้ประกอบการทำงานง่ายขึ้น และต้องมีระบบอะไรบ้างที่สามารถช่วยสนับสนุนการเพิ่มยอดขายได้อย่างแท้จริง
|
6. เมื่อ iOS และ Android ออก Version ใหม่ |
มีแนวโน้มสูงที่ต้องจ้างทำให้ App ให้รองรับ Version ใหม่ๆตลอด ยิ่งถ้าปรับแต่งหน้าตาไม่ถูกหลัก
UX/UI มากๆ ค่าใช้จ่ายก็จะสูงตามมา รวมทั้งเวลาในการพัฒนาอัพเดทก็จะนานขึ้น |
ระบบที่ดีจะมีการปรับ App ให้รองรับการออก Version ใหม่ๆ โดยที่คุณจะไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการ
Update เลย และที่สำคัญค่าใช้จ่ายต่ำกว่ามากถ้าใช้ระบบของเรา |
7. ค่าใช้จ่ายในการทำ Application |
ค่าใช้จ่ายสูงในการจ้างพัฒนา App โดยเฉพาะ App ระบบร้านค้าออนไลน์ |
ค่าใช้จ่ายต่ำกว่ามากถ้าใช้ระบบของ SME EZ ราคาในการมีแอพร้านค้าออนไลน์ไว้ขายของเริ่มต้นเพียง 2,600+
บาท/เดือนเท่านั้น |
8. ค่าใช้จ่ายหลังส่งมอบงาน |
มีค่า HOSTING รายเดือน, ค่า SSL (ระบบความปลอดภัย) รายปี, ค่า Domain รายปี, ค่า Apple developer รายปี
ค่า Google Developer, ค่า Annual Maintenance สำหรับ BUG (รายปี), ค่าจ้างในการ Update Version
ในทุกครั้งที่ iOS,android มีการอัพเดท |
เสียเพียงค่ารายเดือนเริ่มต้นเพียง 240 บาท/ เดือนเท่านั้น อย่างอื่น บริษัท SME EZ เป็นผู้รับผิดชอบทั้งหมด |
9. การตามตัวโปรแกรมเมอร์เพื่อแก้ไขงาน |
ถ้าเป็นบริษัทต้องรอคิวเพื่อแก้ไขงานทำให้ธุรกิจสะดุด ยิ่งถ้าเป็น Freelance หรือบริษัทเล็กๆ อาจปิดตัว
ทำให้เกิดความยุ่งยากในการ Update แก้ไข |
ง่ายมาก เนื่องจาก SME EZ เป็นระบบสำเร็จรูป มีลูกค้าที่ใช้ระบบเดียวกันอยู่เป็นจำนวนมาก จึงเป็นมืออาชีพที่ให้บริการอย่างต่อเนื่อง |
10. ความรวดเร็วในการเข้าเว็บและ App |
ขึ้นอยู่กับ SERVER ถ้าไม่ใช้ระบบ CLOUD การเข้าก็จะช้าและมีสิทธิ์ล่มมากกว่าและยิ่งหากเข้าจากต่างประเทศก็จะช้า
แต่ถ้าใช้ CLOUD ที่ดีๆค่าใช่จ่ายเริ่มต้นหลักพันต่อเดือน ยิ่งถ้าข้อมูลมากอาจสูงถึงหลักหมื่นขึ้นไปต่อเดือน |
การเข้ารวดเร็วจากทั่วโลก เนื่องจากระบบ SME EZ ใช้ CLOUD อย่างแท้จริงของต่างประเทศที่ดีที่สุดในโลก
ไม่ใช่ CLOUD VPS ทำให้การเข้าถึงจากต่างประเทศรวดเร็ว และอัตราการล่มต่ำมาก โอกาสเสี่ยงที่ข้อมูลของท่านจะเสียหายและสูญหายจะต่ำมาก |
11. การอัพเดทระบบให้ทันสมัยและมีเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่จะช่วยให้ธุรกิจโดดเด่น |
ลูกค้าจะต้องศึกษาข้อมูลด้วยตัวเองไม่มีที่ปรึกษาที่เชี่ยวชาญคอยดูแลและพัฒนา ทำให้ระบบมีการล้าสมัย
และพลาดในการใช้เทคโนโลยีใหม่ๆ
|
ทีมงาน SME EZ มีฝ่ายวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์เสมอ เมื่อเห็นอะไรที่คิดว่าจะช่วยพัฒนาระบบให้ดีขึ้น
ทันสมัยมากขึ้น ทางทีมงานก็จะพัฒนาระบบให้ลูกค้าอยู่ตลอดเวลา อีกทั้งหากมีเทคโนโลยีใหม่ๆ ทีมพัฒนาก็จะพัฒนาให้รองรับเสมอ |
|
|
|